เส้นทางสู่การเทรดให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยการจะวัดว่าเทรดสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ต้องประเมินหลายๆ องค์ประกอบร่วมกัน และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเทรดที่เราจะนำมาพูดถึงในวันนี้คือ “Latency” หรือ “ความล่าช้า” ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักเทรดหลายท่านอาจมองข้ามไปในบางครั้ง
ทุกวันนี้การเทรดออนไลน์ (Online trading) กลายเป็นตัวเลือกการลงทุนหลักที่นักลงทุนให้ความสนใจ จะเห็นได้ว่ามีโบรกเกอร์ผู้ให้บริการเทรดออนไลน์ (E-broker) เกิดขึ้นมากมายในตลาด แต่ใครจะไปรู้ว่าการเทรดออนไลน์ที่ค่อนข้างสะดวกสบายนั้นก็มีข้อเสียเหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือความล่าช้าของระบบเทรดหรือโปรแกรมเทรด ที่หากนักลงทุนท่านไหนไม่ค่อยถนัดเรื่องเทคโนโลยีเท่าไหร่นักก็คงแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ยาก แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น วันนี้เราจะมาช่วยอธิบายให้ท่านเข้าใจว่า ความล่าช้า ที่ว่านั้นคืออะไร? มีความหมายอย่างไรในการเทรด? แล้วความล่าช้าเหล่านั้นส่งผลอย่างไรต่อการลงทุนในตลาด Forex?
มาร่วมหาคำตอบเหล่านี้ไปพร้อมๆ กันเลยครับ!
“ความล่าช้า” (Latency) หรือที่เรียกทับศัพท์กันว่า “ดีเลย์” (Delay) หากเป็นในแง่ของการเทรดก็หมายถึง ความล่าช้าในการเปิดหรือปิดออเดอร์เทรดนั่นเอง ซึ่งอย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าเมื่อท่านต้องการเปิดหรือปิดออเดอร์ใดๆ ก็ตาม ท่านจะต้องกดคำสั่งเหล่านั้นเพื่อส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์ที่ท่านเทรดด้วย ซึ่งถ้าหากโบรกไหนที่มี “High latency” นั่นหมายความว่าโบรกนั้นมีระบบการออกออเดอร์ที่รวดเร็วมากๆ แต่ถ้าหากมี “Low latency” ก็หมายถึงว่าโบรกนั้นมีการออกออเดอร์ที่ค่อนข้างล่าช้านั่นเองครับ
รู้ไหมว่า? เราวัดระยะเวลาที่ระบบออกออเดอร์แบบละเอียดเป็นมิลลิวินาทีเหมือนกับความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์เลยทีเดียวครับ
ทุกท่านคงคุ้นเคยกับตลาดการเงินเป็นอย่างดี และทราบดีว่าตลาดมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา บางครั้งราคาก็พุ่งขึ้นหรือร่วงฮวบแบบไม่ทันตั้งตัว จะออกออเดอร์ตอนนั้นก็สายไปซะแล้ว พอตัดสินใจเทรดไม่ถูก ไม่รู้ว่าเอายังไงต่อดี ก็อาจเทรดแพ้ได้ในที่สุด
ที่สำคัญ โบรกเกอร์จะต้องมีระบบการออกออเดอร์ที่รวดเร็วอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถออกออเดอร์ได้แบบไม่มีสะดุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาในการออกออเดอร์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต, ความรวดเร็วของซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเทรด, เซิร์ฟเวอร์เทรดของโบรกเกอร์นั้นๆ และอุปกรณ์ที่เทรดเดอร์ใช้ในการเทรด เป็นต้น
อย่างไรก็แล้วแต่ ความล่าช้าในการเทรดนั้นไม่ได้เกิดจากการออกออเดอร์เทรดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการอัปเดตข้อมูลราคาในโปรแกรมเทรด และข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ ในตลาดอีกด้วย ซึ่งถ้าหากโปรแกรมเทรดของโบรกเกอร์ที่ท่านเลือกใช้บริการมีการออกแบบโปรแกรมหรือเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ก็อาจทำให้การเทรดของท่านล่าช้า หรือแย่ไปกว่านั้นคือโปรแกรมอาจประมวลผลราคาและสัญญาณเทรดผิดเพี้ยนไปได้ ทำให้ท่านพลาดโอกาสคว้ากำไรในที่สุด ซึ่งเวลาที่คลาดเคลื่อนเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็อาจกลายเป็นหายนะร้ายแรงในการเทรดได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมี Slippage เกิดขึ้น! ว่าแต่… Slippage คืออะไรกันนะ?
Latency หรือการดีเลย์นั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในความล่าช้าที่หลายท่านอาจทราบกันดีก็คือ Slippage นั่นเองครับ โดย Slippage เป็นการวัดค่าส่วนต่างระหว่างราคาที่ระบบออกออเดอร์ให้สำเร็จกับราคาที่เทรดเดอร์ต้องการในการออเดอร์ ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมี Slippage เกิดขึ้นเล็กน้อย หรือเวลาในการออกออเดอร์จริงช้านิดหน่อย แต่ก็อาจส่งผลให้ท่านเทรดขาดทุนได้มหาศาลเลยทีเดียว
เอาล่ะ! หลังจากที่เราได้พูดถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการออกออเดอร์มาบ้างแล้ว ได้เวลามาทำความเข้าใจอย่างละเอียดว่าปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นส่งผลต่อการออกออเดอร์ดีเลย์ยังไงบ้าง เพื่อที่ทุกท่านจะได้นำไปพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์หรือทดสอบระบบเทรดของโบรกเกอร์นั้นได้
Latency เป็นการวัดค่าความเร็วในการออกออเดอร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง โดยหากระยะเวลาในการออกออเดอร์นั้นล่าช้าจนเกินไป ก็อาจทำให้เทรดผิดพลาดได้ แน่นอนว่าเทรดเดอร์อาจสามารถควบคุมปัจจัยบางอย่างที่ส่งผลต่อความเร็วในการออกออเดอร์ได้เอง (เช่น อุปกรณ์เทรด และความรวดเร็วของอินเตอร์เน็ต เป็นต้น) แต่ก็มีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ขึ้นอยู่กับการบริการของโบรกเกอร์ที่ท่านเทรดด้วย ดังนั้น จะเลือกเทรดกับโบรกเกอร์รายไหนก็ลองพิจารณาจากองค์ประกอบเหล่านี้ดูนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีน้า
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน